พล.ต.วินธัย เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีเพียงสองฝ่ายที่เกี่ยวข้องคือไทยและกัมพูชา และมีเพียงฝ่ายไทยที่ประสบเหตุมาโดยตลอด ที่ผ่านมาพบหลักฐานหลายอย่างที่ขัดแย้งกับคำกล่าวอ้างของกัมพูชา ดังนี้
อย่างหลักฐานจากทุ่นระเบิดและพฤติกรรมการพบทุ่นระเบิดรุ่นใหม่: เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 68 หน่วยทหารช่างไทยตรวจพบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 จำนวนมาก ทั้งที่เตรียมไว้และที่ติดตั้งแล้ว ในบริเวณแนววางกำลังเดิมของกัมพูชาที่ภูมะเขือ
การปะทะและการพบทุ่นระเบิด: เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 68 มีทหารกัมพูชาแต่งกายลักษณะหน่วย BHQ (หน่วยงานด้านความมั่นคง) เข้ามาดักซุ่มตรวจการณ์ฝ่ายไทย บริเวณเนิน 350 ใกล้ปราสาทตาควาย เมื่อถูกยิงขับไล่และเข้าตรวจสอบพื้นที่ พบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 รวม 3 ลูกในบริเวณดังกล่าว
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานจากสื่อและคลิปวิดีโอ ภาพจากโซเชียลมีเดีย: วันที่ 30 ก.ค. 68 มีอินฟลูเอนเซอร์ชาวกัมพูชาโพสต์ภาพขณะทำคอนเทนต์บริเวณปราสาทตาควาย ซึ่งในภาพมีพวงทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
คลิปหลักฐานจากโทรศัพท์ทหารกัมพูชา: หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมของกองทัพเรือ (TMAC) พบโทรศัพท์ที่ทหารกัมพูชาทำทิ้งไว้ในพื้นที่ภูมะเขือ ภายในมีคลิปที่แสดงให้เห็นทหารกัมพูชากำลังถือทุ่นระเบิด PMN-2 และมีเสียงสนทนาภาษาเขมรระบุว่าเป็นการสาธิตวิธีการใช้งานก่อนนำไปฝัง
พล.ต.วินธัย ยืนยันว่า ทุ่นระเบิด PMN-2 เป็นรุ่นใหม่ มีลักษณะเป็นพลาสติกแข็ง ผิวมันวาว และมีตัวอักษรชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากทุ่นระเบิดที่เคยใช้ในสงครามกลางเมืองของกัมพูชาที่สิ้นสุดไปแล้วในปี 2019 และที่สำคัญคือ รายงานที่กัมพูชาส่งให้แก่อนุสัญญาออตตาวาเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2024 ยังระบุชัดเจนว่ากัมพูชายังคงครอบครองทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 และชนิดอื่น ๆ รวมกว่า 3,700 ลูก โดยอ้างว่าเก็บไว้เพื่อการฝึก
โฆษกกองทัพบกยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงท่าทีของกัมพูชาที่ดูเหมือนจะซื้อเวลาและขาดความโปร่งใสในการประชุม GBC และ RBC ที่ผ่านมา โดยพยายามเลี่ยงการร่วมมือกับฝ่ายไทยในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และปฏิเสธข้อเท็จจริงอย่างต่อเนื่อง
พล.ต.วินธัย กล่าวปิดท้ายว่า กองทัพบกขอเรียกร้องให้ทหารกัมพูชา ยึดมั่นในศักดิ์ศรีของทหารและเคารพในกฎสากลอย่างเคร่งครัด การปฏิเสธในสิ่งที่ได้กระทำลงไปแล้วในขณะที่ฝ่ายไทยมีหลักฐานชัดเจนถือเป็นเรื่องที่น่าละอายอย่างยิ่ง