13 กันยายน 2568 สื่อดังของกัมพูชารายงานว่า แม้ว่าความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชาจะคลี่คลายลงอย่างมาก แต่ยังมีประชาชนกลุ่มเล็กบางส่วนพยายามปลุกปั่นความรู้สึกชาตินิยม ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการแสวงหาสันติภาพในภูมิภาค
สื่อของกัมพูชาชี้ว่า ประสบการณ์จากหลายประเทศแสดงให้เห็นว่าสงครามไม่เคยมีผู้ชนะที่แท้จริง การแสวงหาสันติภาพตามกฎหมายระหว่างประเทศและความร่วมมือกับประชาคมโลกคือหนทางเดียวที่จะปกป้องผลประโยชน์ของชาติในระยะยาว
รายงานระบุว่า หลังการสู้รบบริเวณชายแดน ได้มีการลงนามข้อตกลงหยุดยิง และรัฐบาลไทยชุดใหม่ ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ยืนยันว่าจะใช้สันติวิธีในการแก้ไขข้อพิพาทชายแดน เพื่อลดความสูญเสียและความทุกข์ทรมานของประชาชน ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชาได้ประกาศว่ากัมพูชาพร้อมทำงานใกล้ชิดกับรัฐบาลไทยชุดใหม่เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์และสร้างความไว้วางใจ
สื่อของกัมพูชาย้ำว่า การเรียกร้องให้เผชิญหน้าหรือใช้ความรุนแรง จะนำไปสู่ความสูญเสียและอันตรายมากขึ้น และตัวอย่างประวัติศาสตร์จากอัฟกานิสถาน ซีเรีย ยูโกสลาเวีย และรวันดา ชี้ให้เห็นว่าการปลุกปั่นความชาตินิยมและสงครามกลางเมืองนำไปสู่การทำลายล้างประเทศและประชาชน
สื่อของกัมพูชายังเน้นว่า การใช้ความอดทนและข้อเรียกร้องทางกฎหมายระหว่างประเทศเป็นหนทางเดียวที่จะยุติข้อพิพาทอย่างยั่งยืน การยึดหลักสันติภาพเป็นแกนกลางจะช่วยให้ทั้งสองประเทศสามารถรักษาผลประโยชน์ของชาติและประชาชนได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ สื่อของกัมพูชาเตือนว่าภูมิศาสตร์ของไทย-กัมพูชาไม่สามารถแก้ไขด้วยการแบ่งแยกหรือเผชิญหน้ากันได้ และทั้งสองประเทศเป็นสมาชิกอาเซียน ซึ่งต้องเคารพหลักการ 7 ประการ ได้แก่ การเคารพอธิปไตย การไม่ใช้ความรุนแรง การแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ การไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน การปรองดองและความร่วมมือ และการสร้างประชาคมแห่งสันติภาพ
สื่อของกัมพูชาสรุปว่า ประชาชนชาวกัมพูชาควรร่วมมือกันป้องกันการปลุกปั่นความรู้สึกชาตินิยม และยึดหลักสันติภาพและกฎหมายระหว่างประเทศเป็นศูนย์กลางในการแก้ไขข้อพิพาท เพื่อให้กัมพูชาและไทยสามารถพัฒนาและสร้างความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันได้อย่างยั่งยืน
