ณัฐวุฒิ เสียดายโอกาสทักษิณไม่ได้รับอนุญาตเดินทาง อยากให้ได้เจอกับ ปธน.ทรัมป์ น่าจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทย แม้เจรจาเป็นความรับผิดชอบหลักของรัฐบาล แต่สถานการณ์แบบนี้ ใครมีศักยภาพจะช่วยบ้านเมืองได้ก็ต้องเอามาใช้ การพูดคุยไม่จำเป็นต้องตั้งโต๊ะทางการ วงข้าว วงคุย วงดื่มสังสรรค์ หรือวงนอกรอบใด ๆ ก็ทำได้
วันนี้ (9 พ.ค.68) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ให้ความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวกรณีศาลยกคำร้องขอเดินทางไปต่างประเทศของนายทักษิณ ชินวัตร โดยระบุว่า ในฐานะผู้มีประสบการณ์ตรง เป็นผู้ต้องหาที่ได้รับการประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี ภายใต้เงื่อนไขการเดินทางไปต่างประเทศต้องขออนุญาตศาล เคยทั้งได้รับอนุญาตและไม่อนุญาตให้เดินทาง
“ตอนเป็นรัฐมนตรีขอเดินทางก็มีที่ศาลไม่อนุญาต ผมเข้าใจเอาเองว่าเหตุผลสำคัญที่ศาลไม่อนุญาตเดินทางคือเกรงจะหลบหนี ในใจก็สงสัยว่าตั้งแต่โดนสารพัดคดีติดคุกกี่รอบไม่เคยหนี ตอนนี้เป็นรัฐมนตรีผมจะหนีทำไม แต่ก็เคารพดุลยพินิจศาล หลังรัฐประหารเคยถึงขั้นศาลอนุญาตแล้ว วันเดินทางผ่านทุกขั้นตอนจนนั่งประจำที่รอเครื่องขึ้นบิน อยู่ ๆ เจ้าหน้าที่ ตม.มาพาตัวลงจากเครื่อง บอกว่ายังมีหมายห้ามเดินทาง ต้องลงมาสู้มาเคลียร์เอกสารหลักฐานกันยกใหญ่ ไม่ได้เดินทางในเที่ยวบินเช้านั้น ได้ไปอีกทีเที่ยวดึกวันเดียวกัน”
นายณัฐวุฒิ ระบุด้วยว่า ใครก็ตามเป็นจำเลย เมื่อยื่นขอประกันตัว หากศาลกำหนดเงื่อนไข หมายความว่า ถ้าจะได้ประกันต้องตามนั้น แล้วก็ต้องถือปฏิบัติจนกว่าคดีถึงที่สุด หรือศาลกำหนดเงื่อนไขเป็นอย่างอื่น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับร่วมกัน กรณีนายทักษิณก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขนี้ เท่าที่ขอเดินทางศาลไม่อนุญาตเป็นส่วนใหญ่ ครั้งล่าสุดเมื่อศาลไม่อนุญาตก็ถือเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยชอบ ฝ่ายจำเลยเลือกทำได้ 2 อย่าง คือยอมรับและยุติแผนการเดินทางครั้งนี้ หรืออุทธรณ์คำสั่งตามสิทธิ์ที่พึงมี และรอคำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ต่อไป
ตามข่าวบอกว่าเหตุผลที่ยื่นขอเดินทางครั้งนี้คือได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยงที่กาตาร์ ซึ่งจะมีโอกาสพบประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คนเชิญคือเจ้าผู้ครองนครรัฐกาตาร์ เข้าใจว่าจะมีบุคคลสำคัญทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจระดับโลกอีกจำนวนหนึ่งมาร่วมงาน
“ผมไม่กังวลที่ นายทักษิณไม่ได้เดินทาง ทุกครั้งที่นายทักษิณขอแล้วศาลไม่อนุญาตก็เฉย ๆ เพราะเข้าใจกระบวนการ แต่คราวนี้พูดตรง ๆ ว่าเสียดายโอกาส เพราะนายทักษิณกับประธานาธิบดีทรัมป์ มีสัมพันธภาพที่ดีกันมายาวนาน ตั้งแต่ทั้งคู่ยังเป็นนักธุรกิจ หากได้เจอกันในสถานการณ์กำแพงภาษี แม้ไม่มีวาระหารืออย่างเป็นทางการ แต่ก็น่าจะมีบทสนทนาไม่ว่าจะกับโดนัลด์ ทรัมป์ เอง หรือทีมงานที่เป็นประโยชน์ และนำมาขยายผลในกระบวนการเจรจาระหว่าง 2 ประเทศได้”
นายณัฐวุฒิ ระบุอีกว่า แน่นอนว่าเรื่องเจรจาเป็นความรับผิดชอบหลักของรัฐบาล แต่สถานการณ์แบบนี้ ใครมีศักยภาพจะช่วยบ้านเมืองได้ก็ต้องเอามาใช้ ไม่ใช่เพียงนายทักษิณ ใครก็ตามหากจะเป็นประโยชน์ต้องหาทางช่วยกัน การพูดคุยไม่จำเป็นต้องตั้งโต๊ะทางการเสมอไป วงข้าว วงคุย วงดื่มสังสรรค์ หรือวงนอกรอบใด ๆ ก็ทำได้
“อยากให้นายทักษิณได้เจอกับโดนัลด์ ทรัมป์ ผมว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทย”