วิโรจน์ ชื่นชม แม่ทัพภาค 2 ทำหน้าที่ได้เหมาะสม จี้นายกฯ แจง ปชช.

วันที่ 3 มิ.ย.68 วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Wiroj Lakkhanaadisorn โดย ระบุว่า สำหรับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก ดังนั้นการให้ความคิดเห็นในแง่มุมใดๆ จำเป็นที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะอาจจะถูกอีกฝ่ายหนึ่งหยิบยกขึ้นมาใช้ขยายข้อพิพาท หรือเอามาใช้เป็นเงื่อนไขในการเจรจาที่ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบในอนาคตได้

ในภาพรวม จนถึงปัจจุบัน กมธ.ทหาร ยืนยันว่า การปฏิบัติหน้าที่ของ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 ทำได้อย่างเหมาะสมแล้ว มีความเข้มแข็งในการปกป้องอธิปไตยของชาติ โดยที่ยังเปิดทางในการเจรจาด้วยสันติวิธี ไม่ได้มีท่าทีที่ประสงค์จะรบ แต่ก็พร้อมรบอย่างไม่หวาดหวั่น

ผมเข้าใจความจำเป็นในการสงวนท่าทีของรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และ รมว.ต่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตามก็ควรชี้แจงกับประชาชน ให้ได้รับทราบว่า รัฐบาลไม่ได้ละเลยกับปัญหาดังกล่าว ยังคงประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และพร้อมดำเนินมาตรการที่ได้สัดส่วน เป็นไปตามหลักสากล ที่เหมาะกับสถานการณ์ อย่างทันท่วงที หากถูกรุกล้ำอธิปไตย

ข้อพิพาทระหว่างไทย และกัมพูชา ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เราจำเป็นต้องรู้เท่าทันว่า ส่วนหนึ่งมาจากอีกฝ่ายที่พยายามหยิบยกเอาเรื่องเขตแดนมาสร้างกระแสชาตินิยม เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง

ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ท่าทีที่เข้มแข็งของเรา และมาตรการตอบโต้ที่ชอบธรรม เหมาะสมต่อสถานการณ์ จะสามารถทำให้อีกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการเจรจาได้ในที่สุด

เบื้องต้นผมเห็นด้วยว่า กระทรวงการต่างประเทศควรเร่งประสานจัดการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม หรือ JBC (Thai-Cambodian Joint Boundary Commission) เพื่อเจรจาหาทางออกร่วมกันอย่างสันติ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศ

ผมคิดว่า การที่กัมพูชาท้าทาย ด้วยการที่จะนำเอาข้อพิพาทที่ช่องบก ไปพิจารณาที่ศาลโลก หรือ ศาล ICJ

(International Court of Justice) ผมประเมินว่า เป็นการสร้างประเด็นเพื่อให้ตนดูมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้นเท่านั้น เพราะการพิจารณาที่ศาลโลก ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน ซึ่งหากทำเช่นนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของประชาชนทั้ง 2 ประเทศอย่างแสนสาหัส ที่สำคัญการตัดสินของศาลโลก อาจทำให้ไทย และกัมพูชา ต่างฝ่ายต่างได้ และเสียคนละส่วน ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงผลลัพธ์สุทธิแล้ว อาจจะทำให้ทั้งไทย และกัมพูชา เสียผลประโยชน์ร่วมกันอย่างมหาศาล เป็นการยุติข้อพิพาทที่ได้ไม่คุ้มเสีย

ผมคิดว่า เราจำเป็นต้องอดทนอดกลั้นต่อการท้าทายยั่วยุ ซึ่งอีกฝ่ายหมายจะให้เราใช้กำลัง เพื่อที่เขาจะได้หยิบยกมาเป็นข้ออ้างในการขยายความขัดแย้ง ผมเชื่อว่าในที่สุดถ้าจำเป็นต้องรบ ด้วยความเข้มแข็งของกองทัพ เราสามารถรบชนะได้แน่ๆ แต่กว่าจะไปถึงขั้นนั้น เราจำเป็นต้องใช้สันติวิธีตามหลักสากล เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้กำลังอย่างถึงที่สุดเสียก่อน เพื่อความชอบธรรมในการใช้กำลัง ในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วจริงๆ

จะมีประโยชน์อะไรหากชัยชนะที่ได้มา ต้องแลกกับความสูญเสีย และหายนะทางเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชนที่อยู่อาศัยตามแนวชายแดน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *